คอร์สค้นหา ตัวเอง-ศักยภาพตัวเอง นำไปสู่ความสำเร็จ  ร่ำรวย

เราเปิดคอร์สนี้ที่แรก และที่เดียวในประเทศ โดย อ.ปัน (เราเปิดมานานนับ 10ปี)

ค้นหาตัวเอง เจอศักยภาพในตัวเรา  นำไปสู่ความสำเร็จ  ร่ำรวย

( ท่านที่ต้องการพบความสำเร็จโดยเร็ว  / ถ้าเรียนไม่ได้ผล เราพร้อมคืนเงิน)

1 

  คอร์สนี้ นี้มุ่งทำให้ท่านค้นพบ ตัวเอง- พบศักยภาพตัวเอง  แล้วนำไปใช้เพื่อให้ชีวิตท่านพบความสำเร็จ  ร่ำรวย   

                แนวคิดของคอร์สนี้ คือ เราเชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพในตัวเอง   แต่เราต้องค้นหาศักยภาพนั้นให้เจอ  แล้วก็ทำยังไงให้สามารถนำศักยภาพนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ต่อหน้าที่การงาน  ชีวิต  ครอบครัว 

 

                สิ่งที่สอน เราสอนเทคนิคต่างๆ ในทางจิตวิทยาเพื่อให้ท่านค้นพบตัวเอง   พบศักยภาพตัวเอง   สอนการประยุกต์ใช้ศักยภาพตัวเองให้เกิดประโยชน์สูงสุด 

 .

.

 

คนที่ควรเรียนคอร์สนี้

-              คนที่อยากค้นพบตัวเอง 

-             คนที่อยากค้นพบศักยภาพในตัวเอง

-              คนที่เชื่อว่าตัวเองมีศักยภาพ  มีความรู้ความสามารถ แต่ไม่รู้จะนำมาใช้อย่างไร

-          คนที่ชีวิตไม่เคยพบความสำเร็จ-ความสมหวัง  พบแต่ความผิดหวัง-ความพ่ายแพ้

-          คนที่ชีวิตล้มเหลว /  ชีวิตลำบาก  /  คนตกงาน

-          คนที่จะเรียนต่อ ป.โท หรือ ป.เอก  (ก็ควรเรียนคอร์สนี้)

-          คนที่ทำธุรกิจล้มเหลว / ทำธุรกิจเจ๊ง / ธุรกิจล้มละลาย

-          คนที่อยากดัง  / อยากมีชื่อเสียง  /  อยากเป็นคนเก่ง  อัจฉริยะ /  อยากประสบความสำเร็จ

 

 

 

เป้าหมายของการเรียน

           -       ค้นพบตัวเอง อย่างแท้จริง

           -         ค้นพบศักยภาพในตัวเอง

           -         สามารถนำศักยภาพในตัวเอง  มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ต่อหน้าที่การงาน  ชีวิต  ครอบครัว ได้สูงสุด

 

 

 

รูปแบบการเรียน 

ระยะเวลาเรียน 3-6 เดือน เรียนสัปดาห์ละครั้ง ครั้งละ 2 ชม. (ค่าเรียน 4,500 บาท/เดือน ) 

 

 

ศูนย์ให้คำปรึกษาเบื้องต้น เพื่อความเจริญก้าวหน้าในการงาน (โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ใดๆ)
ถ้าท่านทำงานสายวิชาชีพมาตั้งนาน แต่ไม่เจริญก้าวหน้าในงานเท่าที่ควร หรือ ท่านต้องการให้ตัวท่านเจริญก้าวหน้าในงานมากขึ้นกว่าเดิม

โปรด ส่งปัญหา และ ประวัติของท่านมาที่ Email : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

.

.

สนใจติดต่อ คุณปัน

โทรสอบถาม เรื่องเรียน - คอร์สต่างๆ · 089-1690911 ·หรือ · 083-094-9242 , 082-4293576

หรือ ส่งมาที่ ·LINE ID :   @znh9554d    (อย่าลืมใส่ @ ด้วยค่ะ)

Face Book :   อ.ปั้น  พุทธะ


สถานที่สอนอยู่ รัชดาซอย 3 (ซอยย่อยอยู่เจริญ 15) ใกล้กับห้องฟอร์จูน ถนนรัชดา กทม.อยู่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดินพระรามเก้า

 

 

 

ท่านสามารถอ่านบทความดีๆ  ที่จะช่วยทำให้ท่านประสบความสำเร็จในชีวิต  ตาม  Facebook  ข้างล่าง

 Facebook  :   ชีวิตเลิกล้มเหลว  พบความสำเร็จ  สักที

www.facebook.com/pages/ชีวิตเลิกล้มเหลว-พบความสำเร็จ-สักที/787036301374579

 

 

 

/////////////////////////////////////////////////

 

 

 

ย้อนรอย 50 บุคคลดัง ผู้เคยผ่านความล้มเหลวมาก่อน

ตลอดเวลาที่ผ่านมา...เราได้เห็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงโด่งดังหลายคนในด้านต่าง ๆ อาทิ นักธุรกิจ นักวิทยาศาสตร์ นักลงทุน ศิลปิน นักเขียน หรือแม้กระทั่งดารานักร้อง ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างมากมาย จนเรานึกอิจฉาและหวังว่าจะได้เป็นแบบนั้นบ้าง แต่รู้หรือไม่ว่า...พวกเขาต้องใช้ความอดทนและล้มลุกคลุกคลานมาขนาดไหน ล้มเหลวมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งกว่าที่จะมีวันแห่งความสำเร็จได้ วันนี้เรามีเรื่องราวของบุคคลสำคัญที่ว่านี้จากเว็บไซต์ onlinecollege.org มาบอกต่อกันค่ะ


นักธุรกิจ

1. เฮนรี่ ฟอร์ด (Henry Ford)

แม้ว่าทุกวันนี้ทุกคนจะรู้จักชื่อเสียงของ ฟอร์ด เป็นอย่างดีในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ (Ford Motor) ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในวงการรถยนต์ แต่เชื่อไหมว่า กว่าที่จะมีวันนี้ได้เขาต้องล้มเหลวกับธุรกิจมาก่อน และทำให้เขาต้องหมดเนื้อหมดตัวมาแล้วถึง 5 ครั้ง ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนได้อย่างสง่าผ่าเผยเช่นทุกวันนี้

 

2. อาร์ เฮช เมซี่ (R. H. Macy) หรือ โรแลนด์ ฮัสซี่ย์ เมซี่

เจ้าของศูนย์การค้าชื่อดังที่มีสาขาอยู่หลายแห่งทั่วอเมริกาอยู่ในทุกวันนี้ เขาต้องต่อสู้และฟันฝ่าอุปสรรคมากมายกว่าที่จะทำให้ธุรกิจของเขากลับมาได้รับความนิยมและยิ่งใหญ่อีกครั้ง โดยเฉพาะร้านในเมืองแห่งความศิวิไลซ์อย่าง นิวยอร์ก ที่มีผู้คนเข้าไปจับจ่ายใช้สอยกันอย่างมาก


3. เอฟ ดับบลิว วูลเวิร์ธ (F. W. Woolworth) หรือ แฟร้งค์ วินฟิลด์ วูลเวิร์ธ

ผู้ก่อตั้งกิจการห้างในชื่อเดียวกันกับเค้าคือ "วูลเวิร์ธ" ซึ่งบางคนอาจจะไม่คุ้นหูชื่อร้านสักเท่าไหร่ แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในห้างสรรพสินค้าที่มีผู้เข้าไปใช้บริการมากที่หนึ่งในอเมริกา โดยก่อนหน้านั้นเขาเคยเป็นแค่พนักงานธรรมดา ๆ อยู่ร้านสะดวกซื้อมาก่อน ก่อนที่จะมีไอเดียทำธุรกิจส่วนตัวนี้ขึ้นมา และบริหารจนกิจการค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ


4. โซอิชิโร ฮอนดะ (Soichiro Honda)

เจ้าของธุรกิจรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น "ฮอนด้า" ที่เรารู้จักกันดี ผู้ต้องล้มลุกคลุกคลานในวงการธุรกิจก่อนจะกลายเป็นนักธุรกิจพันล้านเช่นทุกวันนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเขาเองเคยเดินเข้าสัมภาษณ์งานกับบริษัทคู่แข่งอย่าง โตโยต้า มาก่อนในตำแหน่งวิศวกร ก่อน แต่ถูกปฏิเสธไม่รับเข้าทำงาน  ซึ่งทำให้เขาต้องเดินเตะฝุ่นอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเริ่มสร้างรถสกู็ตเตอร์ด้วยตัวเองที่บ้าน และนั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จที่เขามีอยู่ในปัจจุบัน

5. อากิโอะ โมริตะ (Akio Morita)

คุณอาจจะไม่คุ้นชื่อเขาคนนี้สักเท่าไหร่ แต่ถ้าพูดถึงสินค้ายี่ห้อ "โซนี่" (Sony) แล้วล่ะก็ต้องรู้จักในทันทีแน่นอน ซึ่งสินค้าที่ทางโซนี่ผลิตออกมาเป็นชิ้นแรก คือ หม้อหุงข้าว แต่ผลิตภัณฑ์กลับไม่ได้รับความนิยมในท้องตลาดอย่างที่คาดหมายเอาไว้ โดยขายได้ไม่ถึง 100 ชิ้น อย่างไรก็ตาม ความล้มเหลวในครั้งนั้นไม่ได้ทำให้ โมริตะ และหุ้นส่วน หมดไฟในการทำงาน ทว่ากลับกลายเป็นแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ให้เขาสร้างสรรค์สินค้ายอดนิยมต่าง ๆ ออกมาได้อย่างมากมาย

6. บิล เกตส์ (Bill Gates)

คงไม่มีใครไม่รู้จักชายอัจฉริยะผู้นี้อย่างแน่นอน แรกเริ่มเดิมทีเส้นทางของเขาไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบสักเท่าไหร่ หลังจากที่เขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เขากับเพื่อนได้ร่วมกันคิดผลงานที่ชื่อว่า ทราฟ-โอ-ดาต้า (Traf-O-Data) ขึ้นมาแต่ก็แป้กไป แต่คนอย่างเขาไม่เคยหยุดนิ่งเพียงเพราะก้าวแรกที่ผิดพลาด ภายหลังเขากับเพื่อน ๆ ก็ได้คิดผลงานที่สร้างชื่อให้เขาที่สุดอย่าง "ไมโครซอฟท์" (Microsoft) ขึ้นมา จากนั้นก็ไม่มีใครสงสัยในความสามารถของเขาอีกต่อไป


7. ฮาร์แลนด์ เดวิด แซนเดอร์ส (Harland David Sanders)

งงใช่ไหม? ...แต่ถ้าเป็น ผู้พันแซนเดอร์ส คงคุ้นหูมากกว่าและนึกถึงชายแก่ร่างท้วมใส่ชุดสูทสีขาวยืนอยู่หน้าร้านขายไก่ทอดชื่อ "เคเอฟซี" (KFC หรือ Kentucky Fried Chicken) ทุกคนต้องร้อง อ๋อออ อย่างแน่นอนที่สุด ไม่น่าเชื่อเลยว่าสูตรลับในการปรุงไก่ทอดที่ออกมาเป็นที่นิยมในปัจจุบันนั้น กลับถูกปฏิเสธจากร้านอาหารต่าง ๆ มามากถึง 1,009 ครั้ง ก่อนจะประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด

 

8. วอลท์ ดิสนีย์ (Walt Disney)

ทุกวันนี้ชื่อ "วอลท์ ดิสนีย์" เลื่องลือไปทั่วโลกว่าเป็นผู้สร้างความยิ่งใหญ่และต่อเติมโลกแห่งจินตนาการให้กับทุกคน ซึ่งมีรายได้จำนวนมหาศาลจากสวนสนุก ผลิตภัณฑ์สินค้าและภาพยนตร์ แต่เขากลับต้องเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ด้วยความทุลักทุเล โดยหลังจากที่โดนไล่ออกจากงานหนังสือพิมพ์ ด้วยเหตุผลที่ว่า "ขาดจินตนาการและความคิดดี ๆ ในการสร้างสรรค์งาน" เขาก็ได้เริ่มทำธุรกิจของตัวเอง แต่ทำได้ไม่นานกิจการก็ต้องล้มพับไป แถมยังล้มละลายอีกด้วย อย่างไรก็ดี คนที่เคยถูกตราหน้าว่าไร้จินตนาการ ก็ได้ร่ายเวทมนต์ เนรมิตผลงานของเขาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แบบไร้ข้อกังขาอีกต่อไป


นักวิทยาศาสตร์และนักคิด

9. อัลเบิร์ท ไอน์สไตน์ (Albert Einstein)

เมื่อได้ยินถึงชื่อชายผู้นี้แล้ว คนส่วนใหญ่จะให้นิยามเขาว่า "อัจฉริยะ" ซึ่งจริง ๆ แล้ว เขาไม่ได้เป็นอย่างที่ว่า ตั้งแต่เกิดมา ไอน์สไตน์ พูดไม่ได้จนกระทั่งเขาอายุได้ 4 ขวบ และอ่านไม่ได้จนอายุ 7 ขวบ โดยที่บรรดาครูและพ่อแม่ของเขาต่างคิดว่า เขาอาจจะมีความผิดปกติทางด้านจิตใจ นอกจากพัฒนาการที่เป็นไปอย่างช้าแล้ว เขายังต่อต้านการเข้าสังคมอีกด้วย เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน  เคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนอาชีวะ แห่งซูริค   แต่ใครจะเชื่อล่ะว่า เมื่อโตขึ้นมาเขาจะคว้ารางวัลโนเบลไปครอง และยังพลิกโฉมหน้าวงการฟิสิกส์ให้ก้าวหน้าไปไกลเกินกว่าใครจะคาดคิด


10. ชาร์ลส ดาร์วิน (Charles Darwin)

ก่อนหน้านี้ ดาร์วินได้ล้มเลิกความคิดที่จะประกอบอาชีพทางการแพทย์ตามรอยเท้าของพ่อ เพราะเขาไม่ชอบเรียนทางด้านนี้ แต่เขาสนใจเรื่องธรรมชาติและวิทยาศาสตร์มากกว่า และมักถูกตำหนิติเตียนจากพ่อของเขาเสมอว่า เขานั้นเป็นคนขี้เกียจและเพ้อฝันมากเกินไป แต่แล้ว...ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อทุกวันนี้เขาได้กลายเป็น นักธรรมชาติวิทยา ที่ได้รับการยกย่องจากคนทั่วทั้งวงการไปเรียบร้อยแล้ว


11. โรเบิร์ต ก็อดดาร์ด (Robert Goddard)

ผลงานการค้นคว้าและการทดลองเรื่องจรวดของนักวิทยาศาสตร์อย่าง ก็อดดาร์ด ต่างก็ได้รับการยอมรับจากคนจำนวนมากแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านั้นถูกคนปฏิเสธผลงานแเละล้อเลียนเรื่องไอเดียของเขามาโดยตลอด ว่ามันเป็นเรื่องเกินจริงและไม่มีทางเป็นไปได้ แต่วันนี้...ทุกคนก็ได้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า จรวดและการท่องไปในอวกาศไม่ใช่เรื่องในจินตนาการอีกต่อไป

 

12. ไอแซค นิวตัน (Isaac Newton)

คงไม่มีใครสงสัยในความเป็นอัจฉริยะของ นิวตัน อย่างแน่นอน ผู้ซึ่งคิดค้น กฎแรงโน้มถ่วง และกฎการเคลื่อนที่ และผลงานที่น่าจดจำอีกมากมาย แถมยังเป็นนักคณิตศาสตร์ ที่มีความเก่งกาจไม่แพ้ใคร แต่ครั้งหนึ่งในวัยเด็กเขากลับไม่ชอบไปเรียนหนังสือ และมักมีปัญหากับทางบ้านอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งภายหลังเขากลับมีแรงกระตุ้นให้หันกลับมาตั้งใจเรียน จนได้ทุนเรียนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์


13. โสเครติส (Socrates)

เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้มีผลงานการเขียนอะไรคงเหลืออยู่ถึงปัจจุบันสักเท่าไหร่ แต่เขาก็ได้รับการยกย่องว่าเป็น นักปรัชญา ที่เก่งที่สุดในยุคนั้น ด้วยแนวความคิดที่ไม่เหมือนใครของเขา จึงได้มีคนมาขอเป็นลูกศิษย์มากมาย อย่างไรก็ดี ก็มีคนที่ไม่เห็นด้วยและต่อต้านความคิดของเขา ทั้งยังถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สร้างความเสื่อมศรัทธาให้แก่ศาสนา จนท้ายที่สุดแล้วเขาต้องมาพบจุดจบด้วยการถูกบังคับให้ดื่มยาพิษ


14. โรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก (Robert Sternberg)

นักจิตวิทยาผู้แสนชาญฉลาด ผู้เป็นถึงประธานสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน เคยมีการเรียนที่ไม่ค่อยสู้ดีนักในสมัยเป็นนักเรียน ถึงขนาดครูผู้สอนในชั้นเรียนจิตวิทยาเคยสบประมาทเขาไว้ว่าไม่เอาไหน แต่แล้วเขาก็กลับลบคำวิจารณ์นั้นด้วยการตั้งใจเรียนจนจบด็อคเตอร์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดได้สำเร็จ


นักประดิษฐ์

15. โธมัส เอดิสัน (Thomas Edison)

เป็นผู้พัฒนาและประดิษฐ์หลอดไฟที่ทุกคนต้องได้ยินชื่อเสียงเขามาก่อนอย่างแน่นอน ซึ่งกว่าที่เขาจะมาเป็นสุดยอดนักประดิษฐ์ได้ เขาต้องเจอกับคำถากถางจากอาจารย์ในชั้นเรียนว่าตัวเขา "โง่เกินกว่าที่จะเรียนรู้อะไรสักอย่างได้" เพราะผลการเรียนแย่มาก ผู้เป็นครูเห็นว่า เอดิสันเป็นเด็กปัญญาอ่อน ไม่มีทางเยียวยารักษาได้ ไม่มีทางสอนให้มีความรู้ได้ ถึงกับพูดเหยียดหยามเอดิสันว่า "สมองของแกเน่าหมดแล้ว"  สุดท้า่ยเอดิสันต้องออกจากโรงเรียน แล้วให้แม่สอนหนังสือที่บ้าน และแม้กระทั่งในยามที่เขาทำงานแล้ว เขายังเคยถูกไล่ออกจากงานด้วยเหตุผลที่ว่า เขาทำงานได้ไม่ดีพอ จนเขาหันมาสนใจในงานประดิษฐ์หลอดไฟ ซึ่งเขาต้องทดลองสร้างและพบความล้มเหลวมานับพันครั้ง กว่าที่จะออกมาเป็นหลอดไฟที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้


16. ออร์วิลล์ และ วิลเบอร์ ไรท์ (Orville and Wilbur Wright)

สองพี่น้องยอดนักประดิษฐ์ทั้งสองต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคมากมาย ก่อนที่จะเริ่มต้นเปิดร้านจักรยาน ซึงจุดประกายความคิดที่จะสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่บินได้ขึ้นมา และพวกเขาได้ทดลองสร้างเครื่องยนต์ที่ทำให้ยานพาหนะบินได้ แต่ผลงานตัวต้นแบบหลายต่อหลายชิ้นไม่ประสบผลสำเร็จ จนกระทั่งหลายปีหลังจากนั้นทั้งสองก็ได้สร้างเครื่องบินให้ออกมาวาดลวดลายบนท้องฟ้าได้สำเร็จ


บุคคลสาธารณชน

17. วินสตัน เชอร์ชิลล์ (Winston Churchill)

เขาคือผู้ชนะรางวัลโนเบลและผู้ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ 2 ครั้ง แต่รู้หรือไม่ว่าชายผู้นี้ไม่ได้มีชีวิตที่สวยหรูมาตั้งแต่แรก ตอนสมัยประถมเขาก็มีปัญหาเรื่องการเรียน หรือแม้แต่ตอนเข้ามาสู่ชีวิตการเมือง เขาก็ต้องพ่ายแพ้ในช่วงการเลือกตั้งอยู่หลายหน กว่าจะก้าวขึ้นมายืนในตำแหน่งนายกรัฐมนตรได้ เมื่ออายุได้ 62 ปี


18. อับราฮัม ลินคอห์น (Abraham Lincoln)

ลินคอห์น คือผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกา ทว่ากว่าที่จะมีชื่อเสียงอย่างทุกวันนี้ได้ เขาต้องผ่านอะไรมานักต่อนัก ในสมัยวัยรุ่นเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำในการออกรบในศึกสงคราม แต่ต้องกลับมาในตำแหน่งที่เหลือเพียงแค่นายทหารเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาย่อท้อต่อชะตาชีวิตแม้เพียงนิดเดียว ซึ่งเขาก็พยายามดิ้นรนต่อสู้อย่างหนัก จนก้าวขึ้นมายืนในตำแหน่งประธานาธิบดีได้สำเร็จ ก่อนจะถูกลอบสังหารในระหว่างไปดูละครเวที


19. โอปราห์ วินฟรีย์ (Oprah Winfrey)

ผู้คนทั่วโลกต่างรู้จักเธอในฐานะ "เจ้าแม่พิธีกรรายการทีวี" ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในสหรัฐอเมริกา ทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้ที่ร่ำรวยและเป็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งในโลกด้วย แต่ชีวิตในวัยเด็กของเธอต้องเผชิญกับความยากลำบาก และเธอเคยถูกไล่ออกจากงานนักข่าวทางทีวี ด้วยเหตุผลที่ว่า "เธอดูไม่เหมาะกับรายการทีวี" อย่างไรก็ดี ตอนนี้คงไม่มีใครสงสัยในความสามารถของเธออีกต่อไปแล้ว


20. แฮร์รี่ เอส ทรูแมน (Harry S. Truman)

ทรูแมน เคยเป็นสมาชิกวุฒิสภา รองประธานาธิบดี และสุดท้ายก็ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้สำเร็จ อย่างไรก็ดี เขาก็เคยเลือกทางเดินที่ผิดพลาดมาก่อนที่จะค้นพบเส้นทางที่เหมาะสำหรับเขาจริง ๆ โดยชายผู้้นี้เริ่มต้นชีวิตจากการเปิดร้านขายเสื้อเชิ้ตและเสื้อผ้าอื่น ๆ ซึ่งในตอนแรกกิจการก็เป็นไปอย่างราบรื่น จนไม่กี่ปีหลังจากนั้นธุรกิจก็ต้องล้มละลาย ก่อนที่จะผันตัวเข้าสู่เวทีการเมือง

21. ดิค เชนี่ย์ (Dick Cheney)

อดีตรองประธานาธิบดีของสหรัฐฯ และนักธุรกิจชื่อดังอย่าง เชนี่ย์ เคยต้องเจออุปสรรคเมื่อครั้งสมัยที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเยล ซึ่งเขาสอบไม่ผ่าน และเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่อดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ชอบแซวเชนี่ย์ว่า "ตอนนี้เรารู้แล้วว่า ถ้าคุณสามารถเรียนจนจบที่มหาวิทยาลัยเยลได้ล่ะก็ คุณจะกลายมาเป็นประธานาธิบดีอย่างแน่นอน แต่ในเมื่อคุณเลิกเรียนที่นั้น คุณเลยต้องกลายมาเป็นรองประธานาธิบดีอย่างในตอนนี้"


ดาราฮอลลีวู้ด

22. เจอร์รี่ เซนฟิลด์ (Jerry Seinfeld)

นักแสดงตลกจากซิทคอมชื่อดัง "เซนฟิลด์" (Seinfeld) กลับต้องพบความยากลำบากในการขึ้นเวทีแสดงโชว์ครั้งแรก เมื่อเจอร์รี่ ออกไปยืนอยู่บนเวมีต่อหน้าผู้ชมจำนวนมาก เขากลับยืนแข็งทื่อ ไม่กล้าแสดง จนถูกคนดูเย้ยหยัน ทันใดนั้นเขาก็วิ่งลงจากเวทีไปดื้อ ๆ หลังจากนั้นเขาก็กลับมาคิดทบทวนและบอกตัวเองว่า ต้องทำได้ ๆ และในคืนต่อมาก็ขึ้นแสดงอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาทำให้คนดูหัวเราะและปรบมือให้ในฝีมือการแสดง


23. เฟร็ด แอสแตร์ (Fred Astaire)

ดาราชาวอเมริกันมากความสามารถ ซึ่งเป็นทั้งนักแสดงภาพยนตร์ ละครบรอดเวย์ นักร้องและนักออกแบบท่าเต้นที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง กลับเคยถูกผู้กำกับจากค่ายหนัง เอ็มจีเอ็ม (MGM) สบประมาทตอนที่เขาไปทดสอบการแสดงครั้งแรกไว้ว่า "เขาแสดงไม่ได้ ร้องเพลงก็ไม่ได้ แถมยังเต้นไม่ค่อยเป็น แล้วอย่างนี้จะทำอะไรได้" แต่แล้วคำกล่าวหานั้นก็ไม่มีใครสนใจอีกต่อไป หลังผลงานของเขาออกมาเผยแพร่สู่สายตาผู้ชม


24. ซิดนี่ย์ พอยเทียร์ (Sidney Poitier)

นักแสดงผิวสีชาวอเมริกันเชื้อสายบาฮามาส เจ้าของรางวัลอย่างลูกโลกทองคำ แกรมมี่ และเวทีใหญ่อย่างออสการ์ ก็หนีไม่พ้นจากการโดนดูถูกเช่นกัน โดยผู้คัดเลือกนักแสดงกล่าวว่า "ทำไมคุณไม่เลิกทำให้คนอื่นเสียเวลา และออกไปหางานล้างจานหรืออย่างอื่นทำซะ" ซึ่งเหตุการณ์ในวันนั้นกลับกระตุ้นให้เขาทุ่มเทให้กับการทำงาน จนได้รับการยอมรับจากคนทั่วทั้งวงการอย่างเช่นทุกวันนี้"


25. ฌีอานน์ โมโร (Jeanne Moreau)

นักแสดงสาวชาวฝรั่งเศส เคยถูกผู้คัดเลือกนักแสดงตบหน้าด้วยคำพูดที่ว่า "หน้าตาเธอมันดูธรรมดา และไม่สวยพอที่จะได้เล่นหนังเรื่องนี้หรอก" แต่แล้ววันนี้จากผลงานการแสดงเกือบ 100 เรื่องและรางวัลมากมายที่เธอได้รับ คงเป็นเครื่องการันตีได้แล้วว่า เธอไม่ได้เพียงแค่สวย แต่ยังมีความสามารถอีกด้วย


26. ชาลี แชปลิน (Charlie Chaplin)

คงไม่ต้องบรรยายอะไรมากมายสำหรับเขาผู้นี้ แชปลิน ได้เปลี่ยนโฉมหน้าวงการหนังเงียบให้มีเสน่ห์ดึงดูดผู้ชม และหากพูดถึงเขาแล้วคงต้องนึกถึงบทบาท "คนจรจัด" (The Tramp) ซึ่งเขามักสวมสูทตัวเล็กสีดำ พร้อมหมวกสีดำ ถือไม้เท้าและไว้หนวดจุ๋มจิ๋มอันเป็นเอกลักษณ์ แต่ครั้งหนึงเขาเคยถูกสตูดิโอหนังในฮอลลีวู้ดปฏิเสธ เพราะพวกเขาคิดว่าบุคลิคอย่าง แชปลิน ไม่น่าจะขายได้

27. ลูซิล บอล (Lucille Ball)

ตลอดช่วงชีวิตของ บอล เคยได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลเอ็มมี่ 13 ครั้ง และคว้ารางวัลมาได้ถึง 4 ครั้ง นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลเกียรติยศอื่น ๆ อีกมาก แต่ก่อนหน้านั้นเธอเคยถูกปรามาสว่าเป็นนักแสดงเกรดบี แม้กระทั่งครูสอนการแสดงของเธอยังไม่คิดว่าเธอจะทำได้ ซ้ำยังบอกให้ลองไปหาอาชีพอื่นทำดีกว่า ซึ่งในท้ายที่สุดเธอก็พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาคิดผิด


28. แฮริสัน ฟอร์ด (Harrison Ford)

ครั้งหนึ่งยอดนักแสดงอย่าง ฟอร์ด เคยโดนผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ดูถูกว่า เขาไม่มีทางกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ได้ แต่แล้วผลงานที่ปรากฏให้เห็นอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะบทบาท ฮัน โซโล จากภาพยนตร์สตาร์ วอร์ส หรืออินเดียน่า โจนส์ ก็ส่งให้เขาเป็นที่รู้จักและได้รับเสียงชื่นชมในฝีไม้ลายมือการแสดงของเขาอย่างกึกก้อง


29. มาริลีน มอนโร (Marilyn Monroe)

สาวผมบลอนด์ทรงเสน่ห์ ขวัญใจใครหลายต่อหลายคน เคยถูกตัวแทนคัดเลือกนางแบบ บอกให้เธอไปเป็นเลขาฯ น่าจะดีกว่ามาเป็นนางแบบ แต่แล้วเธอก็ตอกกลับตัวแทนเหล่านั้นด้วยการพัฒนาฝีมือจนก้าวขึ้นมาเป็นนางแบบและดาราที่โด่งดังเป็นพลุแตกได้ ถึงแม้ว่าเธอจะจากโลกไปนานแล้ว แต่ผลงานของเธอยังติดตราตรึงใจผู้ชมจวบจนทุกวันนี้


30. โอลิเวอร์ สโตน (Oliver Stone)

สุดยอดผู้กำกับภาพยนตร์อย่าง โอลิเวอร์ สโตน เริ่มเขียนนิยายเรื่องแรกสมัยเขายังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเยล ซึ่งสโตนมุ่งมั่นกับงานเขียนมากจนการเรียนตกลงไป ซ้ำร้ายนิยายที่พยายามเขียนก็ถูกปฏิเสธจากสำนักพิมพ์หลายแห่ง จนผ่านมาหลายปีกว่าจะได้รับการตีพิมพ์ในที่สุด จากนั้นเขาก็เดินทางไปที่เวียดนามและได้สมัครเข้าคัดเลือกเป็นทหารเพื่อร่วมรบในสงคราม ซึ่งในช่วงที่ออกรบนั้นกลับเป็นแรงบันดาลใจให้เขาหันมาสร้างภาพยนตร์ที่มีกลิ่นไอจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นอยู่หลายเรื่องด้วยกัน


นักเขียนและศิลปิน

31. วินเซนต์ แวน โก๊ะ (Vincent Van Gogh)

ในวงการศิลปะภาพเขียน คงไม่มีใครไม่รู้จัก แวน โก๊ะ อย่างแน่นอน ด้วยผลงานการวาดภาพอันวิจิตรตระการตา ส่งผลให้เขามีอิทธิพลอย่างมากต่อศิลปะสมัยใหม่ แต่ในช่วงชีวิตหนึ่งเขาเคยขายรูปภาพได้เพียงแค่ชิ้นเดียว ซึ่งเป็นการขายให้กับเพื่อนของเขาเองแลกกับเงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากเทียบกับปัจจุบันที่ผลงานของเขามีมูลค่าที่สูงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัวนัก

32. เอมิลี่ ดิกคินสัน (Emily Dickinson)

เธอเป็นนักกวีผู้รักชีวิตสันโดษอย่างแท้จริง เธอรักการอ่านและการเขียนเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งนักวิชาการทางวรรณกรรมต่างยอมรับและให้การยกย่องเธอว่าเป็นกวีที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง และบทกลอนของเธอก็มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างยิ่ง แต่กว่าที่ผลงานของเธอจะได้รับการยอมรับนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะสำนักพิมพ์หลายแห่งก็ปฏิเสธผลงานเธอมามาก ทั้งนี้เธอก็ไม่เคยยอมแพ้และพยายามสร้างสรรค์บทกลอนออกมาให้จับใจผู้อ่าน จนในที่สุดก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธผลงานของเธอ


33. ธีโอดอร์ ซูส จีเซล (Theodor Seuss Giesel) หรือนามปากกา "ดร. ซูส"

นักเขียนการ์ตูนชื่อดังของโลก ผู้เคยฝากผลงานไว้กับหนังสือการ์ตูนสำหรับเด็กชื่อดังมากมาย เช่น The Cat in the Hat หรือ How the Grinch Stole Christmas ที่เคยนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ แต่ถึงอย่างนั้นหนังสือเล่มแรกของเขาที่เขียนขึ้นมา To Think That I Saw It on Mulberry Street กลับถูกสำนักพิมพ์ถึง 27 แห่งปฏิเสธอย่างไม่ใยดีมาก่อนแล้ว


34. ชาร์ล ชูลต์ส (Charles Schultz)

นักเขียนการ์ตูนชื่อดังเรื่อง "พีนัทส์" (Peanuts) หรือ สนู้ปปี้กับแก๊งเพื่อน ต้องเผชิญกับอุปสรรคในเส้นทางการอาชีพมาตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมแล้ว โดยผลงานของเขาที่ส่งให้ไปลงในหนังสือรุ่นกับถูกปฏิเสธทั้งหมด หลังจากเรียนจบแล้วก็ยังต้องพบกับความยากลำบากอีกเมื่องานที่ส่งไปหาบริษัทชื่อดังอย่าง วอลท์ ดีสนีย์ ก็ยังไม่ต้องการรับเขาเข้าทำงานอีก อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่เคยย่อท้อและไล่ตามความฝันของเขาจนในที่สุดก็ทำได้สำเร็จ


35. สตีเว่น สปีลเบิร์ค (Steven Spielberg)

หากเอ่ยชื่อของพ่อมดแห่งวงการภาพยนตร์ ชื่อของ "สปีลเบิร์ค" จะต้องลอยขึ้นมาอยู่ในหัวอย่างแน่นอน ผลงานต่าง ๆ มากมายที่ได้รับความนิยมจากคนทั่วทั้งโลก คงเป็นเครื่องการันตีความสามารถของเขาได้เป็นอย่างดี ทว่าสมัยเรียนชีวิตเขากลับไม่รุ่งโรจน์เหมือนผลงานที่เห็นตอนนี้ เมื่อเขาเคยถูกปฏิเสธการรับเข้าเรียนจากมหาวิทยาลัย Southern California School of Theater, Film and Television มาถึง 3 ครั้ง จนสุดท้ายเขาตัดสินใจเลือกไปเรียนที่อื่น แต่ยังไม่ทันเรียนจบดี เขาก็พักการเรียนไว้เพื่อออกไปทำงานเป็นผู้กำกับ จนกระทั่งผ่านไป 35 ปีหลังจากเริ่มเรียนปริญญาตรี เขาก็กลับไปเรียนต่อจนจบในปี 2002

36. สตีเฟ่น คิง (Stephen King)

คิง ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเขียนนิยายสยองขวัญที่มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งในวงการ เคยหมดหวังในอาชีพนักเขียนจนเกือบจะเลิกเขียนมาแล้ว หลังจากที่หนังสือเล่มแรกที่เขาเขียนอย่าง "แครี่" (Carrie) ต้องโดนปฏิเสธมาแล้ว 30 ครั้ง จนเขายอมแพ้และถึงกับโยนต้นฉบับทิ้งลงถังขยะไปเรียบร้อย แต่ภรรยาของเขาหยิบมันขึ้นมา แล้วบอกให้เขาลองส่งไปอีกเรื่อย ๆ เพราะเธอเชื่อมั่นว่ามันมีดีพอที่จะได้ตีพิมพ์ จนในที่สุดวันนั้นก็มาถึง ต่อมางานเขียนชิ้นอื่น ๆ ก็ตามมาอีกนับร้อย


37. เซน เกรย์ (Zane Grey)

นักเขียนนิยายแนวผจญภัยที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ก็มีจุดเริ่มต้นที่ทุลักทุเลไม่ต่างกับนักเขียนชื่อดังคนอื่น ๆ โดยเริ่มทำงานจากการเป็นหมอฟัน แต่ทำได้ไม่นานก็รู้สึกว่าไม่ชอบ จากนั้นเขาเลยเริ่มเขียนหนังสือดู ถึงกระนั้นงานเขาต้องถูกปฏิเสธมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเกือบจะวางปากกาทิ้งไป แต่เมื่อเขาอายุได้ 40 ปี ก็มาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิต เมื่องานของเขาได้รับการตีพิมพ์ และภายหลังก็มีผลงานอื่น ๆ ตามมาอีกเกือบ 100 เรื่อง ซึ่งมียอดจำหน่ายมากกว่า 50 ล้านก็อปปี้ทั่วโลก


38. เจ เค โรว์ลิ่ง (J. K. Rowling)

พ่อมดน้อยแฮรี่ พ็อตเตอร์ คงไม่ได้เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างทุกวันนี้ หากไม่มียอดนักเขียนอัจฉริยะ "เจ เค โรว์ลิ่ง" มาถ่ายทอดจินตนาการของเธอออกมาเป็นตัวหนังสือให้อ่านกัน ทว่ากว่าจะมีวันนี้ได้เธอต้องทนอยู่กับความยากจน เผชิญหน้ากับความกดดัน หย่าร้างกับสามีและต้องพยายามเลี้ยงดูลูกของเธอด้วยการเป็นนักเขียนที่ขณะนั้นไม่มีใครรู้จักเธอเลย แต่เมื่อเธอได้ร่ายเวทมนตร์เป็นตัวอักษรลงในหนังสือ ทุกสิ่งในชีวิตเธอก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อหนังสือได้รับความนิยมและได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ส่งผลให้เธอกลายเป็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จและร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งในโลก


39. โมเน่ต์ (Monet)

ถึงแม้ว่าปัจจุบันภาพวาดของโมเน่ต์ จะสามารถขายได้นับล้านเหรียญดอลลาร์ แต่ก่อนที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ ภาพวาดสไตล์อิมเพรสชั่นนิสของเขาเคยถูกศิลปินคนอื่น ๆ ล้อเลียนและดูถูกเอาไว้มาก แต่เขากลับไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนแนวทางการวาดของเขา จนในที่สุดก็ได้รับการยอมรับและถือว่าเขาเป็นผู้นำศิลปะในยุคโมเดิร์นขึ้นมา


40. แจ๊ค ลอนดอน (Jack London)

นักเขียนชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงอย่าง ลอนดอน ผู้เขียนนิยายยอดนิยมเรื่อง White Fang และ The Call of the Wild เคยถูกปฏิเสธมาแล้วถึง 600 ครั้ง จากนิยายเรื่องแรกของเขา ก่อนสุดท้ายจะได้รับการยอมรับจากทางสำนักพิมพ์


41. หลุยส์ซ่า เมย์ อัลค็อต (Louisa May Alcott)

ผลงานของ อัลค็อต ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือเรื่อง "ลิตเติ้ล วีเมน" (Little Women) ซึ่งบางส่วนของนิยายเรื่องนี้มีโครงเรื่องมาจากชีวิตจริงของน้องสาวเธอ ที่ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1868 ซึ่งก่อนที่จะมาจับงานเขียนอย่างเต็มตัว อัลค็อต เคยเป็นสาวรับใช้ในบ้านและนางพยาบาลมาแล้วด้วย


42. โวล์ฟกัง อมาดิอุส โมสาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart)

อัจฉริยะทางด้านดนตรีอย่าง โมสาร์ท เริ่มแต่งเพลงตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และเขียนเพลงมามากกว่า 600 เพลง ซึ่งทุกวันนี้บางเพลงได้รับการยกย่องว่าเป็นเพลงที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทั้งนี้ถนนบนสายดนตรีของเขากลับไม่ราบเรียบดั่งที่ใจต้องการ เมื่อเขาเคยเข้าร่วมคณะดนตรีวงหนึ่งในซัลส์เบิร์ค แต่ต่อมาเขากลับโดนขับไล่ออกจากวง อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงเดินตามความฝันในการเป็นนักแต่งเพลงต่อไปและก้าวขึ้นมายืนในวงการดนตรีได้อย่างสง่าผ่าเผย


43. เอลวิส เพรสลี่ย์ (Elvis Presley)

ไม่มีใครไม่รู้จักเขา ถึงแม้เขาจะสิ้นลมหายใจไปนานแล้วก็ตาม แต่ผู้คนก็ยังระลึกถึงเขาและให้เกียรติเขาเสมอมา นอกจากนี้เอลวิสยังได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในนักร้องที่มียอดขายดีที่สุดตลอดกาลอีกด้วย แต่หากย้อนกลับไปในปี 1954 ชื่อเอลวิส ยังเป็นชื่อที่ไม่มีใครรู้จักและยังเคยโดน จิมมี่ เดนนี่ ผู้จัดการของรายการ Grand Ole Opry ไล่ออกหลังจากเขาแสดงไปได้เพลงเดียว แถมยังบอกอีกว่า "คุณไปไหนไม่ได้ไกลหรอก ถ้ามีฝีมือแค่นี้ ผมว่าคุณกลับไปขับรถบรรทุกดีกว่านะ" ซึ่งหลังจาก "ราชาร็อกแอนด์โรล" มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก จิมมี่คงนึกอยากเขกหัวตัวเองที่ไล่เขาไปในวันนั้น


44. อิกอร์ สตราวินสกี้ (Igor Stravinsky)

คีตกวีดนตรีคลาสสิคที่มีชื่อเสียงอย่างมาก จัดเป็นหนึ่งในห้าของนักประพันธ์ที่สำคัญที่สุดของรัสเซีย และระดับโลก โดยในปี 1913 เขาได้แต่งเพลง Rite of Spring ออกมาและทำให้เขาโด่งดังภายในชั่วข้ามคืน ด้วยท่าเต้นบัลเล่ต์ และดนตรีประกอบที่มีท่วงทำนองแปลกหู ไม่เหมือนใคร และนำเสนอแนวทางการแต่งเพลงในแบบของเขาให้ทุกคนได้รู้จักมากขึ้น

45. เดอะ บีทเทิ้ลส์ (The Beatles)

กระทั่งทุกวันนี้ชื่อเสียงของวง "สี่เต่าทอง" ก็ยังเป็นที่พูดถึงเสมอในวงการเพลงอยู่เสมอ รวมทั้งผลงานของเขาก็ยังคงขายได้เรื่อยมา แต่ก้าวแรกของพวกเขาเต็มไปด้วยขวากหนามที่ขวางทางเดินไว้อยู่ เมื่อทางวงได้นำเดโมเพลงไปเสนอกับทางค่าย กลับต้องเจอคำปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่า "เราไม่ชอบดนตรีและเสียงกีต้าร์ในแบบที่พวกคุณเล่นกัน" ซึ่งตอนนี้ทางค่ายที่ปฏิเสธเดอะ บีทเทิ้ล ไปคงยังเจ็บใจไม่หาย ที่ได้ปล่อยให้เพชรหลุดออกจากมือไป


46. ลุดวิค ฟาน บีโธเฟน (Ludwig van Beethoven)

กว่าที่บทเพลงรัก ซิมโฟนีทั้งหลายจะถูกกลั่นกรองออกมาจากสมองของเขา และได้รับการยกย่องว่าเป็นบทเพลงอันทรงคุณค่าได้นั้น บีโธเฟนต้องเจอกับอุปสรรคนานัปการที่ต้องฝ่าฟัน ในวัยเด็กเขาได้เรียนไวโอลินและฝึกแต่งเพลงไปพร้อมกัน ซึ่งเขาไม่ชอบเล่นไวโอลิน แต่กลับรักการแต่งเพลงมากกว่า จนครูของเขาก็เห็นเหมือนว่าคงไปไม่รอดแน่ อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงแต่งเพลงมาโดยตลอดจนฝีมือของเขาก้าวหน้าไปได้ไกล และบทเพลงของเขาก็ยังคงยอดเยี่ยมเสมอมา แม้ในวันที่เขาหูหนวกแล้วก็ตาม


47. ไมเคิล จอร์แดน (Michael Jordan)

คนส่วนใหญ่คงไม่เชื่อว่าอดีตนักบาสเกตบอลหมายเลขหนึ่งของโลกอย่าง จอร์แดน จะเคยไม่ผ่านการคัดตัวเข้าทีมโรงเรียน โชคดีที่ว่า เขาไม่ได้หมดหวังและยังเดินหน้าซ้อมเสมอมา เขากล่าวไว้ว่า "ตลอดชีวิตอาชีพนักบาส ผมพลาดจังหวะยิงมาแล้วมากกว่า 9,000 ครั้ง แพ้มาเกือบ 300 เกมการแข่งขัน ต้องล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเหล่า แต่นั่นแหละที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จในอาชีพของผม"


48. สแตน สมิธ (Stan Smith)

อดีตนักเทนนิสฝีมือเยี่ยมอย่าง สมิธ เคยถูกปฏิเสธแม้กระทั่งการเป็นเด็กเก็บบอลในคอร์ทเทนนิส เนื่องจากทางเจ้าหน้าฝ่ายจัดการแข่งขันเดวิส คัพ รู้สึกว่าเขาดูซุ่มซ่ามและไม่น่าจะประสานงานกับคนอื่น ๆ ได้ แต่สุดท้ายเขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาคิดผิด โดยการคว้าแชมป์วิมเบิลดัน ยูเอส โอเพ่น และเดวิส คัพมาได้ถึง 8 สมัย


49. เบ็บ รูธ (Babe Ruth)

หลาย ๆ คนอาจรู้จักเขาด้วยสถิติการตีโฮมรันของเขาที่มากถึง 714 ครั้ง ตลอดระยะเวลาการเล่นเบสบอล แต่มันก็มากับสถิติที่ไม่น่าจดจำในการตีออกจำนวนมากถึง 1,330 ครั้งเช่นกัน แต่เมื่อไปถามเขาถึงเรื่องจำนวนการตีออกเหล่านั้น เขาตอบแบบง่าย ๆ ว่า "ทุก ๆ ครั้งที่ผมตีออก ทำให้ผมเข้าใกล้การตีโฮมรันมากขึ้น"


50. ทอม แลนดรี้ (Tom Landry)

ในฐานะโค้ชของทีมอเมริกันฟุตบอลอย่างดัลลัส คาวบอย (Dallas Cowboys) แลนดรี้นำทีมคว้าแชมป์ซูเปอร์ โบล มาได้ 2 สมัย แชมป์เอ็นเอฟซี (NFC) อีก 5 ครั้ง และครองสถิติคว้าชัยชนะมากที่สุด แต่เขาก็เคยผ่านช่วงตกต่ำที่สุดในอาชีพเขามาก่อนแล้ว ซึ่งในปีแรกที่เข้ามาคุมทีม เขาได้รับตำแหน่งทีมยอดแย่ไปครองด้วยสถิติไม่ชนะใครเลยตลอดทั้งฤดูกาล และอีก 4 ฤดูกาลหลังจากนั้นก็พาทีมเก็บชัยชนะมาได้ไม่เกิน 5 ครั้ง อย่างไรก็ตามเขาก็ค่อย ๆ พัฒนาฝีมือจนพาทีมเป็นแชมป์ได้สำเร็จ

 

:   กระปุกดอดคอม

 

/////////////////////////////////////

 

ชีวิตคุณล้มเหลวเท่าเขาไหม

ตำนาน KFC ผู้พันแซนเดอร์ส   ผู้ชายที่ล้มเหลว(เกือบ)ทั้งชีวิต!

 

KFC เพื่อนๆก็คงจะรู้จักกันตั้งแต่เด็กๆเลยก็ว่าได้ ไก่ทอดกรอบๆ เฟรนฟรายอร่อยๆที่พ่อกับแม่ชอบซื้อให้กิน นับได้ว่าเป็นที่ชื่นชอบและเป็นของโปรดของใครหลายๆคนอีกด้วย นอกจากนั้นตอนเด็กๆเพื่อนๆก็คงชอบที่จะไปถ่ายรูปคู่กับชายตัวอ้วน ดูอบอุ่น หนวดเคราสีขาว ที่ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ที่เรียกกันว่า ผู้พันแซนเดอร์ส .ใช่ไหมหล่ะ!!

แต่ใครจะไปรู้ว่า กว่าจะมาเป็น KFC นั้น ผู้พันแซนเดอร์ส ต้องฝ่าฝันอุปสรรคต่างๆในชีวิตมามากแค่ไหน เมื่อ teen.mthai ได้อ่านเรื่องนี้ ตอนแรกก็คิดว่าก็เหมือนคนทั่วไปที่กว่าจะสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจมันก็ต้องล้มลุกคุกคลานเป็นธรรมดา แต่!! เมื่อได้อ่านลึกลงไปแล้วทำให้รู้ว่า มันหนักว่าที่คิดไว้หลายเท่า!! teen.mthai อยากให้เพื่อนๆได้ลองอ่านกันดูนะคะ ถึงแม้เรื่องราวจะยาวไปหน่อย แต่รับรองได้ว่า เพื่อนๆจะรู้สึกมีกำลังใจในการต่อสู้กับสิ่งต่างๆมากขึ้น ^^

ประวัติ ผู้พันแซนเดอร์ส ตำนาน KFC

ฮาร์แลนด์ ดี แซนเดอร์ส (“Colonel” Harland David Sanders) ผู้ก่อตั้งเคเอฟซี ตั้งแต่ปี ค.ศ.1939

เกิดเมื่อวันที่ 9กันยายน ค.ศ.1890  และเสียชีวิตเมื่อ  วันที่ 16ธันวาคม ค.ศ.1980

เป็นนักการภัตตาคารชาวอเมริกัน (American restaurateur) ผู้ก่อตั้ง ไก่ทอดเคนตั๊กกี้หรือKentucky Fried Chicken (KFC) เป็นเครือข่ายร้านอาหารจานด่วนที่มีชื่อเสียงของอเมริกัน เป็นร้านที่มีเครือข่าย17,000แห่งทั่วโลก นับเป็นเครือข่ายร้านอาหารที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจากแมคโดนัลด์

อายุ 6 ขวบ :เมื่อเขาอายุได้เพียง 6 ขวบ บิดาก็เสียชีวิตทำให้ แม่ต้องทำงาน เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว เพียงคนเดียว

 

แซนเดอร์ส ยังเป็นเด็กน้อยอายุ 6 ขวบ ต้องรับภาระเลี้ยงดู น้องชายอายุ 3 ขวบ และน้องสาว ยังเล็กอยู่ (มีพี่น้องทั้งหมด 3 คน เป็นลูกชายคนโต) เขาต้อง ทำงานบ้านทุกอย่าง รวมถึง ทำอาหารเองด้วย แซนเดอร์ส มีความสามารถในเรื่องนี้มาก จนได้รางวัลชนะเลิศ ในการประกวด ทำอาหารประจำหมู่บ้าน ขณะที่อายุได้เพียง 7 ขวบเท่านั้น

 

อายุ 10 ปี : แซนเดอร์สเริ่มรับจ้างทำงานครั้งแรก โดยเริ่มจาก การทำงานในฟาร์มใกล้บ้านได้ค่าแรงเพียง เดือนละ 2 ดอลลาร์

 

อายุ 12 ปี: เขาต้องลาออกจากโรงเรียน

เมื่อแม่เขาแต่งงานใหม่ พ่อเลี้ยงของเขาทำร้ายเขาเป็นประจำ ดังนั้นเขาจึงออกจากบ้านไปอาศัยอยู่กับลุมในเมืองอัลบานี (Albany) ไปทำงานที่ฟาร์มในหมู่บ้านเฮนรี วิลล์ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้น ของชีวิตการทำงานหลาย ๆ อย่าง ที่เขาเคยทำ เช่น เป็นนักดับเพลิง ฝึกงานที่ศาล ขายประกัน ขายยาง ทำงานที่สถานีขนส่ง

 

อายุ 15 ปี : เขาปลอมหลักฐานการเกิดเพื่อให้ได้เข้าไปทำงานเป็นทหารตั้งแต่อายุได้15ปี

เขาได้รับเกณฑ์ทหารแล้วไปทำงานดูแลฬ่อที่ใช้ในกิจการทหารในคิวบา เมื่อเขาถูกปลดประจำการ เพราะกองทัพขับออกมา จากนั้นเขาหันเหมาสมัครเข้าโรงเรียนกฎหมาย แต่ด้วยความสามารถที่ไม่ได้เรื่อง เขาจึงถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี หลังจากนั้น 4เดือน เขาได้เดินทางไปยังเมืองSheffield, รัฐAlabamaที่ซึ่งเขาพักอยู่กับลุง น้องชายของเขาClarenceก็ไปพักอยู่ที่นั่น เพื่อหลีกหนีจากพ่อเลี้ยง ในช่วงวัยเด็ก แซนเดอร์สทำหลายงาน เคยเป็นทั้งคนขับเรือกลไฟ พนักงานขายประกัน งานรถไฟ พนักงานดับเพลิง และเป็นชาวนาแต่ก็ล้มเหลวอยู่ดี >,<

 

อายุ 17 ปี : เขาแสดงความสามารถพิเศษด้วยการตกงานติดต่อกันถึง 4 ครั้ง

อายุ 18 ปี : เขาแต่งงานมีครอบครัว และปีถัดมาเขาได้เป็นพ่อคนแต่ชีวิตคู่ของเขาก็มีความสุขอยู่ได้ไม่นานนัก

 

ฮาร์แลนด์แซนเดอร์ส แต่งงานกับโจเซฟีน คิง (Josephine King) ในปี ค.ศ.1908?และหวังจะเริ่มชีวิตครอบครัว แต่เขาก็ถูกเจ้านายไล่ออกจากงานฐานกระด้างกระเดื่องที่ทำงานนอกคำสั่ง ภรรยาของเขาเลิกเขียนจดหมายติดต่อเขา และเขามาพบภายหลังว่าเธอได้ทิ้งเขาแล้ว และได้ยกเครื่องเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับบ้านให้กับคนอื่น แล้วเธอก็หอบลูกกลับไปอยู่กับครอบครัวพ่อแม่ น้องชายของภรรยาเขียนจดหมายมาบอกแซนเดอร์สว่า ?เธอไม่สมควรที่จะแต่งงานกับคนไม่ดีอย่างคุณ ที่ไม่มีงานทำ? แซนเดอร์สมีบุตรชายหนึ่งคนชื่อฮาร์แลนด์(Harland, Jr) เช่นกัน ซึ่งได้เสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็ก แซนเดอร์สได้กลับมาคืนดีกับภรรยา และเขาก็มีบุตรสาวกับอีก2คน ชื่อMargaret SandersและMildred Sanders Ruggles

 

อายุ 20 ปี : ภรรยาของเขาพาลูกสาวหนีไปเพราะทนใช้ชีวิตกับเขาไม่ได้

เหมือนว่าชายคนนี้ทำอะไรไม่ได้เรื่องเลยสักอย่าง !แต่ก็อย่างว่าแหละ คนเราอะไรมันจะไม่ได้เรื่องไปเสียหมด สิ่งเดียวที่เขาพบว่า เขาทำได้ดีก็คือ การทำอาหารดังนั้นเขาจึงไปทำงานเป็นพ่อครัวและคนล้างจานในร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ใช่ชีวิตที่ทรงคุณค่าอะไรเลยในความคิดของเขาชีวิตที่ร้านกาแฟ เขามีเวลามากมายที่จะนั่งคิดและทำอะไรได้มากพอสมควรแต่เขากลับเลือกใช้เวลานั่งคิดถึงภรรยาและลูกสาวของเขาเขาเพียรพยายามติดต่อภรรยาและอ้อนวอนให้เธอกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง แต่ได้รับคำปฏิเสธ??เพราะสถานะของเขาไม่ดีพอที่จะเลี้ยงลูกสาว

 

แซนเดอร์ส วางแผนจะลักผาตัวลูกสาว!

เขาเปลี่ยนความคิดใหม่ เขาไม่ต้องการภรรยาอีกต่อไป ขอเพียงแต่ได้ลูกสาวกลับคืนมาก็พอเพราะเขารักและคิดถึงเธอเหลือเกิน เขาใช้เวลาว่างในร้านกาแฟวางแผนในการนำลูกสาวกลับคืนมาสู่อ้อมอกของตนเขาวางแผนทุกขั้นตอนละเอียดยิบ

เวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ วันที่ตั้งใจไว้ก็มาถึง เขาซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้นอกบ้านหลังเล็กๆ ของภรรยาอย่างระมัดระวัง แม้จะรู้สึกกังวล ตื่นเต้น และตระหนกอยู่บ้างแต่นั่นมิอาจเทียบได้กับความรักที่เขามีต่อลูก เขาตัดสินใจที่จะต้องลงมือทำให้สำเร็จ แต่แล้วอนิจจาวันนั้นลูก สาวของเขาไม่ออกมาเล่นหน้าบ้านเลยแม้กระทั่งความพยายามในการก่ออาชญากรรม เขาก็ยังล้มเหลวเขารู้สึกเหมือนคนที่พ่ายแพ้ต่อโชคชะตา รู้สึกเหมือนคนไม่มีค่าและเหมือนพระเจ้ากำหนดมาแล้วว่าเขาจะต้องอยู่เพียงลำพังไปตลอดชีวิต

แต่เหมือนปาฏิหาริย์ ในที่สุดเขาก็สามารถโน้มน้าวภรรยาให้กลับมาอยู่ด้วยกันได้พวกเขาทำงานด้วยกันในร้านกาแฟแห่งนั้น ทำอาหารและล้างจาน ซึ่งการอยู่พร้อมหน้าทั้งครอบครัว ทำให้เขามีกำลังใจและทำงานจนเกษียณตอนอายุ 65

 

ผู้พันแซนเดอร์ส   คิด จะฆ่าตัวตาย

วันแรกของการเกษียณอายุ เขาได้รับเช็คเงินประกันสังคมฉบับแรกของเขา เป็นเงิน 105 ดอลลาร์(ราวสี่พันบาท)เช็คดังกล่าวเหมือนเป็นตัวแทนของรัฐที่ฝากมาบอกเขาว่า เขาไม่อาจจะดูแลตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือใช้ชีวิต อยู่จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตด้วยเงินสนับสนุนจากรัฐบาลมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้สึกถูกปฏิเสธ ล้มเหลว เสียกำลังใจ และท้อแท้ชีวิตของเขาได้รับความผิดหวังอีกครั้งหนึ่งหลังจาก 65 ปีอันยาวนาน เขาบอกกับตัวเองว่าถ้าเขาดูแลตัวเองไม่ได้ ต้องมีชีวิตอยู่โดยให้รัฐบาลดูแลเขาก็ไม่สมควรจะมีชีวิตอีกต่อไป เขาตัดสินใจ (อีกแล้ว) ว่า ?จะฆ่าตัวตาย?

เขาหยิบกระดาษหนึ่งแผ่นกับดินสอหนึ่งแท่งนั่งลงใต้ต้นไม้ในสวนหลังบ้านอย่างสงบ ตั้งใจที่จะเขียนคำสั่งเสียและพินัยกรรมแต่แทนที่จะทำเช่นนั้น กลับเหมือนมีอะไรมาดลใจ เหมือนเป็นครั้งแรกที่ชีวิตเกิดปัญญาเขาเริ่มต้นเขียนสิ่งที่เขาควรจะเป็น ชีวิตที่เขาควรจะมี และสิ่งที่เขาปรารถนาในช่วงชีวิตสุดท้ายที่เหลืออยู่เขาตกใจมาก เมื่อค้นพบความจริงในชีวิตว่า เขายังไม่เคยทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันกับเขาสักอย่างเลย ! (เพิ่งนึกได้)

 

ผู้พันแซนเดอร์ส : ความผลิกผันในชีวิต !!

เขานั่งครุ่นคิดกับตัวเองอย่างจริงจัง มีบางอย่างที่เขาสามารถทำได้บางอย่างที่คนที่รอบตัวทำสู้เขาไม่ได้ ใช่ ! เขารู้วิธีปรุงอาหารชีวิตเกือบทั้งหมดของเขา อยู่ที่หน้าเตาร้อนๆ มาตลอด เขาตัดสินใจกับตัวเองอีกครั้งในที่สุดเขาเลือกที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อทำอะไรสักอย่างในชีวิตให้ประสบความสำเร็จเขาตั้งใจว่าถ้าเขาจะตาย เขาก็อยากจะตายในแบบที่ได้ลองพยายามเป็นใครสักคนและทำบางสิ่งบางอย่างที่มีค่าด้วยชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนิดของเขาเขาลุกจากเงาไม้ มุ่งหน้าไปยังธนาคารในเมือง เพื่อขอยืมเงินจำนวน 87 ดอลลาร์จากเช็คประกันสังคมฉบับต่อไปของเขาด้วยเงิน 87 ดอลลาร์นั้น เขาซื้อกล่องเปล่าและไก่จำนวนหนึ่ง

จากนั้นเขาก็กลับไปที่บ้านและลงมือทอดไก่ที่ซื้อมาด้วยสูตรพิเศษที่เขาได้คิดค้นขึ้นมาในช่วงหลายปีที่ทำงานที่ร้านกาแฟนั้นเขาเริ่มขายไก่ทอดของเขาตามบ้านต่างๆ ในเมืองคอร์บิน รัฐเคนตั๊กกี้ของเขาแล้วคนขายไก่ทอดอายุ 65 ปีคนนั้นก็กลายมาเป็นผู้พันฮาร์แลนด์ แซนเดอร์สราชาผู้เป็นที่รักของอาณาจักร Kentucky Fried Chicken หรือที่เรารู้จักกันในนาม KFC นั่นเองตอนอายุ 65 ปี เขาเป็นเหมือนอนุสรณ์แห่งความล้มเหลวที่ยังมีชีวิต แต่ในวัย 85 ปีเขาก็กลายเป็นเศรษฐีพันล้านและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก มีผู้คนให้เกียรติเขาทั่วประเทศ

 

 

มาดู ตำนานKentucky Fried Chicken หรือทีเราเรียกกันว่า KFC กันคะ

ค.ศ. 1890

ตำนานความอร่อยของไก่ทอด KFC เริ่มต้นโดย พันเอกฮาร์แลนด์ ดี แซนเดอร์ส ท่านถือกำเนิดขึ้นในเมืองคอร์บิน มลรัฐเคนตั๊กกี้ เมื่อวันที่ 9 กันยายน ในปี 1890  ร้านอาหารในเมืองคอร์บิน รัฐเคนตั๊กกี้ (The restaurant in Corbin, Kentucky)

ค.ศ.1930

ในปี ค.ศ.1930 อันเป็นช่วงที่เศรษฐกิจทั้งประเทศตกต่ำ แซนเดอร์สเปิดปั้มน้ำมันที่เมืองคอร์บิน ในรัฐเคนตั๊กกี้ (Corbin, Kentucky) ที่นี่เขาได้ทำไก่ทอดขาย และมีอาหารจานอื่นๆ เช่น มีแฮมแบบพื้นบ้าน (country ham)??และมีสเต๊ก (steaks) ไว้บริการ เขาทำเป็นภัตตาคารเล็กๆไว้บริการลูกค้า และที่นี่ก็เป็นที่พักของเขาไปด้วย แต่ที่นี่เขาได้เริ่มมีกิติศัพท์ในฝีมือทำอาหารในระดับท้องถิ่น ในที่สุดเขาได้ขยับขยายมาเปิดร้านอาหารในโรงแรมคนเดินทาง (Motel)?ขนาดมีขนาด?140?ที่นั่ง และที่นี่ที่เขาได้เริ่มประสบความสำเร็จในกิจการร้านอาหาร

ค.ศ. 1939

ในปี ค.ศ.1939 นักวิจารณ์อาหารดันแคนไฮนส์ (Duncan Hines)?ได้เยี่ยมร้านอาหารของแซนเดอร์ส แล้วประทับใจมาก โดยได้เขียนให้เกียรติร้านนี้ว่าเป็น ?ร้านที่น่ามาท่องเที่ยวชิมอาหาร? โดยข้อเขียนนี้ได้เผยแพร่ไปทั่วประเทศสหรัฐ ในขณะที่ความสำเร็จของเขาขยายวงไปเรื่อยๆ แซนเดอร์สได้มีบทบาทด้านสังคมมากขึ้น เขาได้เข้าร่วมสมาคมโรตารี่ (Rotary Club),  สภาหอการค้า (Chamber of commerce), และสมาคมFreemasons

ค.ศ.1947

เขาได้หย่าขาดจาก โจเซฟิน ภรรยาคนแรก และในปี ค.ศ.1949 เขาได้แต่งงานกับเลขานุการ ชื่อ คลอเดีย  (Claudia)  และเขาได้รับตำแหน่ง ผู้พันแห่งเคนตั๊กกี้อีกครั้ง จากเพื่อนของเขา คือ ผู้ว่าการรัฐ ลอเรนซ์ เวเธอร์บี้ (Governor?Lawrence Wetherby)

ค.ศ.1950

แซนเดอร์สได้พัฒนาบุคลิกของเขาให้เป็นสัญลักษณ์ของกิจการ โดยเขาไว้เคราแพะ แล้วย้อมหนวดและเคราเป็นสีขาว และผูกไทร์แบบเป็นเส้น (String tie) เขาไม่เคยปรากฏตัวต่อสาธารณะในรูปแบบการแต่งกายอื่นๆในช่วง20ปีหลังของชีวิตเขา โดยในช่วงฤดูหนาว เขาใส่ชุดผ้าขนสัตว์หนา และในฤดูร้อน เขาใส่เสื้อผ้าทำจากฝ้าย แต่ทั้งหมดเป็นแบบเดียวและมีสีขาว เขาย้อมหนวดและเคราเป็นสีขาว เข้ากับสีผมและเสื้อผ้า และนั่นเป็นเอกลักษณ์ที่ทุกคนจำได้

ค.ศ.1955

ในวัย65ปี  ไก่ทอดเคนตั๊กกี้ได้ก่อตัวขึ้นในรูปบริษัท เป็นครั้งแรก โดยผู้ก่อตั้งคือผู้พันแซนเดอร์ส??ร้านอาหารหลักของเขาก็ประสบปัญหาล้มเหลวอีกครั้ง เนื่องจากเกิดถนนสายระหว่างรัฐที่75(Interstate 75)ทำให้คนไม่เดินทางผ่านถนนท้องถิ่นเดิม มาที่ร้านของเขา เมื่อเกิดวิกฤติ มีคนมากินอาหารน้อยลง เขาได้ใช้เงิน $105 จากเงินสวัสดิการเกษียณอายุ(Social Security check)  ใบแรก เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายการเดินทางไปเยี่ยมผู้ซื้อแฟรนไชส์ของเขา และนี่อาจเป็นข้อดีที่ทำให้เขาหันมาทำกิจการแฟรนไชส์เครือข่ายร้านอาหารอย่างจริงจัง แม้วัยของเขาจะเข้าสู่วัยสูงอายุแล้ว

ค.ศ.1964

ผู้พันแซนเดอร์สได้ขายกิจการ ไก่ทอดเคนตั๊กกี้ให้แก่ กลุ่มนักลงทุนมืออาชีพที่มี Jack Massey และ John Y. Brown Jr. เป็นแกนนำ

ค.ศ. 1978

เพื่อรักษาไก่ทอดเคนตั๊กกี้ ให้คงคุณภาพและรสชาติ แบบดั้งเดิม จึงมีการเปิดศูนย์ฝึกอบรมแห่งชาติของ KFC ขึ้นในปี 1978 โดยมีผู้พันแซนเดอร์สเป็น ผู้ตรวจสอบการรักษารสชาติ ของไก่ทอดเป็นหม้อแรก จากพีท ฮาร์แมน ผู้ที่ได้แฟรนไชส์เป็นรายแรก

ค.ศ.1980

ผู้พันแซนเดอร์สก็ถึงแก่กรรมท่านอายุได้ 90 ปี ร่างของท่านถูกนำไปตั้ง ณ ที่ทำการของเมืองหลวง มลรัฐเคนตั๊กกี้ และจากนั้นได้ถูกนำไปฝังที่สุสาน เดฟฮิลล์ เมืองหลุยวิลล์

ในปัจจุบัน KFC มีเครือข่ายของร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีร้านที่ให้บริการอาหาร และของว่าง ได้ขยายสาขามากกว่า 29,500 แห่ง ในกว่า 92 ประเทศทั่วโลก?(ถ้าตอนี้อาจจะขยายไปมากกว่าแล้วก็ได้ ) ?KFC ภายใต้ความยิ่งใหญ่ของ ผู้พันแซนเดอร์สถือเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม และยังคงก้าวต่อไปอย่างมั่นคง ด้วยคุณภาพและสำนึกในความรับผิดชอบที่ดีต่อสังคม ไม่ว่าท่านจะอยู่ในประเทศใดท่าน จะสามารถสัมผัสและระลึกถึงผู้พัน แซนเดอร์ส ตำนานแห่งไก่ทอดแสนอร่อยของ KFC ได้เสมอ หุ่นจำลองของผู้พันแซนเดอร์ส ตั้งอยู่หน้าร้าน เหมือนเป็น เครื่องรับประกันถึงความอร่อย ของไก่ทอด ตำหรับ KFC COLONEL SANDERS THE LEGENDARY CHICKEN EXPERT

 

 

เรื่องราวชีวิตของผู้พันแซนเดอร์ส เป็นอีกบทหนึ่งของเรื่องราวความสำเร็จที่ได้รับคำยกย่องจากผู้คนทั่วโลก แต่ใครจะรู้บ้างว่าหากใต้ต้นไม้วันนั้นผู้พันแซนเดอร์สได้ทำตามที่เขาตั้งใจไว้แต่แรกตำนานไก่ทอดสะท้านโลกก็คงจะไม่มีให้เราได้เห็นกัน จริงอย่างที่เขาว่า ความสำเร็จกับความล้มเหลวห่างกันเพียงแค่พลิกฝ่ามือมันอยู่ที่ว่าคุณเลือกที่จะ สู้ต่อหรือ ยอมแพ้

 

สำหรับผู้พันแซนเดอร์ส 65 ปี ของชีวิตที่ล้มเหลว เทียบคุณค่าอะไรไม่ได้เลยกับ 20 ปีแห่งความสำเร็จแล้วชีวิต คุณหละ ล้มเหลวมากพอหรือยัง ?

 

: mthai   : Financial Freedom,pracob.blogspot.com,snopes.com :